วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ


เทคโนโลยีอวกาศ

🌟กล้องโทรทรรศน์🌟
      แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

  1. กล้องโทรทรรศน์ชนิดหักเหแสง ใช้เลนส์ในการรวมเหมาะสำหรับใช้สังเกตพื้นผิวดวงจันทร์และดาวเคราะห์ เนื่องจากให้ภาพชัด แต่มีข้อเสียคือ อาจจะเกิดความคลาดสี
  2. กล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง ใช้กระจกเว้าในการรวมแสงทำให้ราคาประหยัด ขนาดใหญ่แต่สั้น เหมาะในการสังเกตการณ์วัตถุที่อยู่ไกล เช่น เนบิวลา กาแลกซี


         
กล้องโทรทรรศน์ชนิดหักเหแสง




กล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง


🌟กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล🌟

  • ติดตั้งนอกโลกเพื่อป้องกันการรบกวนของอากาศที่หุ้มห่อโลก
  • เป็นกล้องชนิดสะท้อนแสง
  • ใช้พลังงานจากแผงเซลล์สุริยะ
  • สามารถส่องได้ไกล 14,000 ล้านปีแสง
กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล


🌟ดาวเทียม ( Satellite )🌟
        คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นที่สามารถโคจรรอบโลกได้
ความเร็วในการโคจรรอบโลกของดาวเทียม
   
🌟ประเภทของดาวเทียม🌟

  • ดาวเทียมสื่อสาร เช่น ไทยคม อินเทลแสต ปาลาปา



ดาวเทียมไทยคม
  • ดาวเทียมสำรวจ เช่น แลนด์แซต MOS-1 ธีออส
ดาวเทียมธีออส
  • ดาวเทียมพยากรณ์อากาศ เช่น GMS-3 , NOAA
ดาวเทียม  NOAA

  • ดาวเทียมทางการทหาร
  • ดาวเทียมด้านวิทยาศาสตร์

🌟ยานอวกาศ🌟
             คือ ยานที่ออกไปนอกโลกเพื่อสำรวจข้อมูลของดาวต่างๆแบ่งเป็น 2 ประเภท

  1. ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ควบคุม เช่น ยานไวกิง(ดาวอังคาร) ยานมารีเนอร์ (ผ่านใกล้ ดาวพุธ ดาวศุกร์) ยานมาร์ส (ลงดาวอังคาร )
  2. ยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม เช่น ยานอะพอลโล (ลงดวงจันทร์)

       
ยานอะพอลโล



🌟การส่งดาวเทียมและยานอวกาศจากพื้นโลกไปยังวงโคจร🌟
   



🌟ความเร็วหลุดพ้นที่ความสูงต่างๆ🌟
   



🌟การพัฒนาเชื้อเพลิงที่ใช้ในยานอวกาศ🌟

  • พ.ศ.2446 ไชออลคอฟสกี เสนอว่า การใช้เชื้อเพลิงแข็งอย่างเดียวไม่มีแรงขับพอที่จะพ้นจากพื้นโลกได้ ต้องใช้เชื้อเพลิงเหลวร่วมด้วย
  • พ.ศ.2469 โรเบิร์ต กอดดาร์ด ใช้ออกซิเจนเหลวเป็นสารช่วยในการเผาไหม้ และใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็รเชื้อเพลิง

🌟ระบบขนส่งอวกาศ🌟
ประกอบด้วย 3 ส่วน

  • จรวดเชื้อเพลิงแข็ง
  • ถังเชื้อเพลิงภายนอก
  • ยานขนส่งอวกาศ

🌟สถานีอวกาศนานาชาติ🌟

  • สร้างขึ้นจากความร่วมมือของประเทศต่างๆ 16 ประเทศ สูงจากพื้นโลก 354 กิโลเมตร
  • ประเทศต่างๆจะนำข้อมูลที่ได้มาใช้ประโยชน์ร่วมกัน
  • ใช้พลังงานจากแผงเซลล์สุริยะ
  • คาบการโคจร : 91.34 นาที

บทที่ 7 ระบบสุริยะ

                                                                               

                                                                                 บทที่7

❤ ระบบสุริยะ ❤  


  • ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ในกาแลกซีทางช้างเผือก ที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มแก๊ส  อาจจะมีบางส่วนหลงเหลือกลายเป็นฝุ่นผงล้อมรอบดวงอาทิตย์ เมื่อผ่านไปกลุ่มแก๊สนี้จะรวมตัวกันเกิดเป็นดาวบริวารต่างๆ
  • ดาวบริวารมักอยู่ในระนาบใกล้เคียงกัน
  • ปัจจุบันดวงอาทิตย์มีดาวเคราะห์บริวาร 8 ดวง และมีดาวเคราะแคระ เช่น พลูโต ซีรีส อีรีส



❤ องค์ประกอบของระบบสุริยะ ❤


  • เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองชนิดสเปกตรัม G อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 6,000 เคลวิน
  • สิ่งที่ได้จากดวงอาทิตย์ ได้แก่ พลังงาน อนุภาคโปรตอนและอิเล็กตรอน เรียกว่า ลมสุริยะ 
  • ลมสุริยะที่มายังโลกจะถูกแรงแม่เหล้กจากสนามแม่เหล้กกระทำส่งผลให้เกิดแสงเหนือแสงใต้ ไฟฟ้าดับที่ขั้วโลก รวมถึงการสื่อสารขัดข้อง        


❤ นิยามของดาวเคราะห์ ❤


  • เป็นดาวที่โคจรรอบดาวฤกษ์ แต่ไม่ใช่ดาวฤกษ์และไม่ใช่ดาวบริวาร
  • มีมวลมากพอที่จะมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดตัวเองให้อยู่ในสภาวะสมดุลอุทกสถิตหรือรูปร่างใกล้เคียงกับทรงกลม
  • มีวงโคจรที่ชัดเจนและสอดคล้องกับดาวเคระาห์ข้างเคียง
  • มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 500 ไมล์(804.63 กิโลเมตร)


❤ เขตของบริวารดวงอาทิตย์ ❤


  • ดาวเคราะห์ชั้นใน
  • ดาวเคราะห์ชั้นนอก
  • แถบดาวเคราะห์น้อย
  • ดาวหางหรือเมฆของออร์ต


     




❤ สะเก็ดดาว ❤

เป็นวัตถุขนาดเล็ก ไม่มีแสงสว่าง แบ่งเป็น
ดาวตกหรือผีพุ่งไต้ เศษหินและโลหะขนาดไม่ใหญ่มาก ส่วนใหญ่เผาไหม้หมด
อุกกาบาต เผาไหม้ไม่หมด
วัตถุในแถบคอยเปอร์เป็นวัตถุที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูนออกไป ได้แก่ ดาวเคราะห์แคระ ดาวอีรีส มีสมบัติเหมือนดาวเคราะห์น้อย




❤ การแบ่งกลุ่มดาวเคราะห์ ตามวงโคจร ❤


  • แบ่งดาวเคราะห์ออกได้เป็น 2 กลุ่ม


  1. ดาวเคราะห์วงใน คือ ดาวเคราะห์ที่มีรัศมีวงโคจรใกล้กว่าโลก ได้แก่ ดาวพุธและดาวศุกร์ จะปรากฏอยู่ด้านเดียวกับดวงอาทิตย์เสมอเมื่อสังเกตจากโลก ดังนั้นจะเห็นเฉพาะในเวลาเช้ามืดและหัวค่ำเท่านั้น
  2. ดาวเคราะห์วงนอก คือ ดาวเคราะห์ที่มีรัศมีวงโคจรมากกว่าโลก ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูนและดาวเคราะห์แคระพลูโต อาจจะปรากฏด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ เมื่อสังเกตจากโลก




❤ การแบ่งกลุ่มดาวเคราะห์ ตามองค์ประกอบ ❤


  • แบ่งดาวเคราะห์ออกได้เป็น 2 กลุ่ม


  1. ดาวเคราะห์หิน (ดาวเคราะห์ชั้นใน) ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร องค์ประกอบส่วนใหญ่จะเป็นหินทำให้ความหนาแน่นเฉลี่ยอยู่ที่ 3.9-5.5 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
  2. ดาวเคราะห์แก๊ส (ดาวเคราะห์ชั้นนอก) ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียม ทำให้มีความหนาแน่นต่ำ ระหว่าง 0.7-1.7 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร


  • สำหรับดาวพลูโต อาจจัด้ป็นดาวเคราะห์น้ำแข็งเนื่องจากองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นมีเทนและคาร์บอนมอนอกไซด์ในรูปน้ำแข็ง




❤ ดวงอาทิตย์ ❤
 




  • แก่น
  • เขตการแผ่รังสี
  • เขตการพาความร้อน


❤ บรรยากาศที่ห่อหุ้มดวงอาทิตย์ ❤

ชั้นโฟโตสเฟียร์ อุณหภูมิ 5,800 เคลวิน
ชั้นโครโมสเฟียร์ อุณหภูมิ 25,000 เคลวิน
ชั้นคอโรนา อุณหภูมิ 2,000,000 เคลวิน

❤ ลมสุริยะและพายุสุริยะ ❤

ลมสุริยะ คือ แก๊สที่ร้อนจนอะตอมแตกตัวเป็นอิเล็กตรอนและไอออนบวก จากชั้นคอโรนา ความเร็ว 200-900 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พายุสุริยะ คือ เกิดจากจุดมืดดวงอาทิตย์ มีความรุนแรง ใช้เวลาเดินทางมาถึงโลก 20-40 ชม.
จุดมืดดวงอาทิตย์มักเกิดทุกๆ 11 ปี


วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561

บทที่ 6 ดาวฤกษ์

♥ ดาวฤกษ์  ♥

   ☆ดาวฤกษ์ (star)

  •  ดาวฤกษ์ คือ ก้อนแก๊สร้อนขนาดใหญ่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบประมาณ 99% และมีฮีเลียมอยู่ด้วย
  • ดาวฤกษ์ต่างจากดาวเคราะห์ที่สามารถผลิตพลังงานได้ด้วยตัวเองจึงสามารถเปล่งแสงได้
  • ดาวฤกษ์ทุกดวงยกเว้นดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นจุดสว่างบนท้องฟ้าซึ่งกะพริบด้เนื่องจากผลของบรรยากาศโลกและระยะห่างจากโลก
  • ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์เช่นกัน แต่อยู่ใกล้เราจนปรากฏเป้นแผ่นกลมแทนที่จะเป็นจุด

   ☆ วิวัฒนาการของดาวฤกษ์
  • ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลา
  • ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นบนดาวฤกษ์เรียกว่า เทอร์โมนิวเคลียร์หรือ นิวเคลียร์แบบฟิวชั่น
  • วิวัฒนาการและจุดจบของดาวฤกษ์แต่ละดวงขึ้นอยู่กับมวลของดาวฤกษ์
  • เนบิวลา ที่มีความหนาแน่นมากจะยุบตัวลงเกิดเป็นดาวฤกษ์ก่อนเกิด(Protostar) ซึ่งอุณหภูมิและความดันที่ใจกลางยังไม่มากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาขึ้นได้
  • เมื่อดาวฤกษืยุบตัวภายใต้แรงโน้มถ่วงจนเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แล้วจึงจะเริ่มเปล่งแสงและกลายเป้นดาวฤกษ์สมบูรณ์
  • ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย เช่น ดวงอาทิตย์จัดว่าเป็นเชื้อเพลิงในอัตราน้อยมีชีวิตยืนยาวมีจุดจบเป้นดาวเเคระขาว
  • ดาวฤกษ์ที่มีมวลมาก มีความสว่างมาก ใช้เชื้อเพลิงในอัตราสูง มีชีวิตสั้น
  • จุดจบของดาววฤกษ์ที่มีมวลมากจะมีการระเบิดอย่างรุ่นแรง เรียกว่า ซุปเปอร์โนวา
  • จาก supenova ดาวฤกษ์ยุบตัวด้วยแรงโน้มถ่วงและกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ
  • การระเบิดของดาวฤกษ์ที่มีมวลมากนี้ก่อให้เกิดนิวเคลียสของธาตุหนัก เช่น ทองคำ ยูเรเนียม
         
           
         รูปภาพที่ไม่มีคำบรรยาย
     
  ☆ดวงอาทิตย์
  • ดวงอาทิตย์มีมวลไม่มากพอที่จะทำให้เกิดนิวเคลียสขนาดหนักได้
  • ดวงอาทิตย์มีอายุมาแล้ว 5000 ล้านปี และจะมีชีวิตต่อไปอีก 5000 ล้านปี
  • พลังงานในดวงอาทิตย์ได้มาจากปฏิกิริยา เทอร์โมนิวเคลียสหรือนิวเคลียร์แบบฟิวชั่น หาได้จาก E=mc²
  • เมื่อใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนหมดแกนกลางจะยุบตัว เกิดการเผาผลาญฮีเลียมแล้วจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นดาวยักษ์แดง
  • เมื่อ เชื้อเลิงฮีเลียมที่ใจกลางหมด ดาวจะยุบตัวลงอีกครั้งขณะที่เเก๊สรอบนอกขยายตัวออกบริเวณรอบนอกจะกลายเป็น เนบิวลาดาวเคราะห์เหลือดาวเคราะขาวไว้ตรงกลาง
  • ดาวเคราะห์ขาวจะมีความหนาแน่สูงมาก แต่จะมีมวลสารไม่เกิน 1.4 เท่าของดวงอาทิตย์อุณหภูมิที่ผิวประมาณ 30000 ถึง 200000 เคลวิน 
   ☆ความสว่างและอันดับความความสว่างของดาวฤกษ์
  •  ความสว่างของดาวฤกษ์เป็นปริมาณพลังงานแสงจากดาวฤกษ์ดวงนั้นใน 1 วินาทีต่อ 1 หน่วยพื้นที่
  • อันดับ ความสว่าง(โชติมาตร)เป็นตัวเลขที่กำหนดขึ้นโดยมีหลักว่าดาวฤกษ์ริบหรี่ที่ สุดที่ตาเปล่ามองเห็น มีอันดับความสว่าง 6 และดาวฤกษ์สว่างที่สุดมีอันดับคามสว่าง 1
  • อันดับความสว่างเป็นตัวเลขที่ไม่มีหน่วย

    ☆ สีและอุณหภูมิของดาวฤกษ์
  • สีของดาวฤกษ์จะมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิที่ผิว และอายุของดาว
  • นักดาราศาสตร์จำแนกดาวฤกษ์ออกเป็นกลุ่มตามสี หรืออุณหภูมิพื้นผิว
  • ดาวที่มีสีน้ำเงิน จะมีอุณหภูมิผิวสูง อายุน้อย
  • ดาวที่มีสีส้มแดง จะมีอุณหภูมิผิวต่ำ อายุมาก
  • ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ มีอุณหภูมิผิวประมาณ 6000 เคลวิน

  ☆เนบิวลา
  • เนบิวลา คือ กลุ่มฝุ่นแก๊สขนาดใหญ่โตมาก ประกอบด้วยแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียม เป็นแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์ เมื่อมองด้วยตาเปล่าหรือใช้กล่องสองตาจะเป็นฝ้า ขาวจางๆ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ
  1. เนบิวลาสว่างประเภทเรืองแสง
  2. เนบิวลาสว่างประเภทสะท้อนแสง
  3. เนบิวลาดาวเคราะห์
  4. เนบิวลามืด 
 

วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561

บทที่ 5 เอกภพ


👀 เอกภพ 👀


 ❤เอกภพวิทยาในอดีต ❤

   1.เอกภพของชาวสุเมเรียนและบาบิโลน
   2.เอกภพของกรีก
   3.เอกภพของเคปเลอร์
   4.เอกภพของกาลิเลโอ
🌟1.เอกภของชาวสุเมเรียนและบาบิโลน
  • อยู่บนดินแดนที่ชื่อว่า เมโสโปเตเมีย (อิรัก)
  • บันทึกตำแหน่งของดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์โดยให้ "โลกเป็นศูนย์กลาง"
  • บันทึกการตั้งชื่อกลุ่มดาวในท้องฟ้า
  • อธิบายการเคลื่อนที่ของดวงดาวตามความเชื่อที่ว่า เทพเจ้าปกครองโลกท้องฟ้าและน้ำเป็นสิ่งที่เทเจ้าบันดาล
  • ให้ความหมายของเอกภพว่า "ท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดวงดาวต่างๆที่เคลื่อนที่ไปตามเวลา ตามความประสงค์ของนะเจ้า"

🌟เอกภพของชาวบาบิโลน
  • วาดภาพดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และกำหนดเส้นทางการขึ้น-ตกของดาวเป็นประจำทุกวัน
  • ทำนายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ได้อย่างถูกต้อง
  • ทำนายการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลได้อย่างถูกต้อง
  • ทำปฏิทินแสดงวันที่และฤดูกาลได้อย่างถูกต้อง
  • เอกภพเหมือนกับชาวสุเมเรียน

🌟2.เอกภพของกรีก
  • อาศัยข้อมูลจากสุเมเรียน+บาบิโลน และให้คณิตศาสตร์พัฒนาแบบจำลองของเอกภพ
  • Socrates Thales Aleximander Anaximenis ให้เห็นว่าโลกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
  • อริสโตเติล พบว่า โลกมีลักษณะเป็นทรงกลม
  • อริสตาร์คัส โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

🌟3.เอกภพของเคปเลอร์
  • โคเปอร์นิคัส ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม
  • โยฮันเนส เคปเลอร์ (ผู้ชายไทโค บราห์) เสนอกฎเคปเลอร์ 3 ข้อ 
    1.วงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรี
    2.เส้นที่ลากจากระหว่างดวงอาทิตย์กับดาว            เคราะห์จะกวาดเป็นพื้นที่ได้เท่ากันในเวลาที่        เท่ากัน
    3.คาบกำลัง2 แปรผันตรงกับระยะห่างจากดวง        อาทิตย์กำลัง3

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
โจฮันเนส เคปเลอร์
                                                           

🌟4.เอกภพของกาลิเลโอ
  • ใช้กล้องโทรทรรศน์ ศึกษาดาราศาสตร์
  • ผิวดวงจันทร์มีภูเขาและหลุมอุกาบาตร
  • ทางช้างเผือกที่มองเห็นเป็นผ้าขุ่น แท้จริงคือดาวฤกษ์
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
กาลิเลโอ
                                                    
🌟นิวตัน อธิบายว่า การที่บริวารของดวงอาทิตย์สามารถโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้เพราะแรงโน้มถ่วง ขนาดของแรง ขึ้นกับมวลและระยะห่าง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นิตัน
นิวตัน
            
กำเนิดเอกภพ
 ❤สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเอกภพ❤ 
  • เอกภพมีความกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วย กาแล็กซี ประมาณแสนล้านกาแล็กซี
  • แต่ละกาเเล็กซีมีเส้นศุนย์กลางประมาณ 100000 ปีเเสง
  • 1 ปีเเสง คือ ระยะทางที่แสงใช้เวลาในการเดินทาง 1 ปีมีค่าประมาญ 9.5 ล้านล้านกิโลเมตร
  • ทฤษฎีที่ใช้ในการอะิบายการเกิดของเอกภพ ๆด้แก่ ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory)

❤ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory)❤
  • เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังงานมาเป็นมวลสารของเอกภพ
  • ขณะเกิดบิกแบง ได้ปรากฎมีอนุภาคืนพื้นฐาน ได้แก่ ควาร์ก อิเล็กตรอน นิวโทรนิ และโฟตอน
    -อนุภาคเหล่านี้มีปฏิอนุภาคของมันด้วย
    -หากอนุภาคใดพบกับปฏิอนุภาคของมันจะเกิด      การหลอมรวมกันของอนุภาคทั้งสอง ทำให้          อนุภาคทั้งสองกลายเป็นพลังงาน
   -ในเอกภพมีจำนวนอนุภาคมากกว่าจำนวนปฏิ          อนุภาค จึงทำให้มีอนุภาคเหลืออยู่ในเอกภพ        และก่อให้เกิดเป็นสสารต่างๆ ในเอกภพใน          ปัจจุบัน
  • หลังเกิดบิกแบง 1 ไมโครวินาที อุณหภูมิของเอกภพลดลงประมาณสิบล้านล้านเคลวินและควาร์กรวมตัวกันกลายเป็นโปรตอนและนิวตรอน
  • หลังบิกแบงได้ 3 นาที อุณหภูมิของเอกภพลดลงไอปีกเป็นร้อยล้านเคลวิน และเกิดการรวมตัวกันของโปรตอนกับนิวตรอนกลายเป็นฮีเลียมในช่วงนี้เอกภพขยายตัวเร็วมาก
  • เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 30000 ปี อุณหภูมิของเอกภพได้ลดลงเหลือ 1000 เคลวิน นิวเคลียสของไฮโดนเจนและฮีเลียมดึงอิเล็กตรอนเข้ามาเป็นวงจร เกิดเป็นอะตอมขึ้น
  • หลังเกิดบิกแบงอย่างน้อย 1000 ล้านปี ได้เกิดมีกาแล็กซี โดยภายในกาเเล็กซีมีธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นสารเริมต้นในการกำเนิดดาวฤกษ์รุ่นแรกๆ

❤กฎฮับเบิล❤
รูปภาพที่ไม่มีคำบรรยาย
รูปภาพที่ไม่มีคำบรรยาย

👀กาเเล็กซี👀
  • กาเเล็กซี คือ ระบบของดาวฤกษ์ หรือเป็นอาณาจักรของดาวฤกษ์
  • กาแล็กซีเกิดขึ้นมาหลังจากบิกแบงประมาณ 1000 ล้านปี
  • แต่ละกาแล็กซีประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณแสนล้านดวง
  • แต่ละกาเเล็กซีคงสภาพอยู่ได้ด้วยแรงความโน้มถ่วงระหว่างดาวฟกษ์กับหลุมดำ
  • ระหว่างดาวฤกษ์จะมีกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง เรียกว่า เนบิวล

❤ประเภทของกาแล็กซี❤
1.กาแล็กซีกังหัน (Spiral Galaxy) มีรูปร่างแบบกังหัน บางทีเรียกว่ากาเเล็กซีก้นหอย กาแล็กซีแอนโดรเมดามีรูปร่างแบบกังหัน

                                         รูปภาพที่เกี่ยวข้อง   

2.กาแล็กซีกังหันแบบมีเเขน Barred Spiral Galaxy)
มีลักษณะคล้ายกาแล็กซีกังหัน แต่ตรงกลางมีลักษณะเป็นคานและมีแขนแบบกาเเล็กซีแบบกังหันต่อออกมาจากปลายคานทั้งสอง มีอัตราหมุนรอบตัวเองเร็วกว่ากาแล็กซีทุกประเภท เช่น ทางช้างเผือก

                                           ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กาแล็กซี่กังหันแบบมีแขน


3.กาแล็กซีกลมรี (Elliptical Galaxy)
มีรูปร่างกลมรี ซึ่งบางกาแล็กซีอาจกลมมากบางกาแล็กซีอาจรีมาก นักดาราศาสตร์ให้ความเห็นว่า กาแล้กซีประเภทนี้จะมีรูปร่างกลมรีมากน้อยเพียงใดนั่นขึ้นอยู่กับอัตราการหมุนของกาแล็กซี ถ้าหมุนเร็วจะมีรูปร่างยาวรีมาก

                                         ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กาแล็กซี่กลมรี   


4.กาแล็กซีไร้รูปร่าง(Irregular Galaxy)
เป็นกาเเล็กซีที่มีรูปร่างไม่แน่นอนหรือเรียกว่า กาเเล็กซีอสันฐาน มักจะเป็นกาแล็กซีมีขนาดเล็ก เช่นน กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่ และกาเเล็กซีแมกเจลแลนเล็ก

                                    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กาแล็กซีไร้รูปร่าง

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บทที่ 4 ธรณีประวัติ



อายุทางธรณีวิทยา


  1. อายุเทียบสัมพันธ์ คือ อายุเปรียบเทียบ หาได้โดยอาศัยข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ที่ทราบอายุแล้วนำมาเปรียบเทียบกับช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า ธรณีกาลล จะบอกได้ว่าเป็นหินในยุคไหนหรือมีช่วงอายุเท่าใด
  2. อายุสัมบูรณเป็นอายุของหินหรือซากดึกดำบรรพืที่สามารถบอกจำนวนปีที่ค่อนข้างแน่นอน คำนวณจากครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยู่ในหิน เช่น C-14 , K-40 , Rb-87 , U-238

ซากดึกดำบรรพ์

  • ซากดึกดำบรรพืเป็นซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมกันอยู่ในชั้นหินตะกอนแล้วเปลี่ยนเป็นหิน ได้แก่ ซากืช ซากสัตว์ ร่องรอย
  • ซากดึกดำบรรพ์บางชนิดปรากฏให้เห็นเปด็นช่วงสั้นๆ ดังนั้นสามารถใช้บอกอายุของหินที่มีซากนั้นอยู่ ซากดึกดำบรรพ์ประเภทนี้เรียก ซากดึกดำบรรพ์ดัชนี
  • ซากดึกกำบรรพ์ดัชนี คือ ซากดึกดำบรรพ์ที่ช่วงบอกอายุได้แน่นอน และปรากฎให้เห็นเพียงช่วงอายุหนึ่งแล้วก็สูญพันธุ์ นักธรณีวิทยาจะนิยมใช้วิธีนี้หาอายุของหินตะกอน
  • ประเทศไทยบซากดึกดำบรรพ์ดัชนี ไทรโลไบต์ บริเวณเกาะตะรุตา แกรปดตไลต์ อำเภอฝาง เชียงใหม่ เป็นต้น

บทที่ 3 ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา

แผ่นดินไหว

สาเหตุและกลไกในการเกิดแผ่นดินไหว

  1. การเคลื่อนที่ของเปลือกโลกตามแนวระหว่างรอยต่อของแผ่นธรณีภาค
  2. ทำให้เกิดแรงพยายามกระทำต่อชั้นหินขนาดใหญ่เพื่อจะทำให้ชั้นหินนั้นแตก
  3. ขณะชั้นหินยังไม่แตกหัก เกิดเป็นพลังงานศักย์ขึ้นที่ชั้นหิน
  4. เมื่อแรงมีขนาดมากจนทำให้แผ่นหินแตกหักจะเกิดการถ่ายโดนพลังงานไปยังชั้นหินที่อยู่ติดกัน
  5. การถ่ายโอนพลังงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในรูปของคลื่น แผ่ออกไปทุกทิศทาง
  6. คลื่นที่แผ่จากจุดกำเนิกการสั่นสะเทือนขึ้นมายังเปลือกโลกได้ เรียกคลื่นนี้ว่า"คลื่นในตัวกลาง"
  7. อัตราเร็วในการแผ่ของคลื่นแผ่นดินไหวขึ้นกับความยืดหยุ่นและความหนาแน่นของตัวกลาง
  8. เรียกจุดกำเนิกการสั่นสะเทือนว่า ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว
  9. ตำแหน่งบนผิวโลกที่อยู่เหนือศูนย์การเกิดแผ่นดินไหวเรียกว่า จุดเหนือศูนย์แผ่นดินไหว
  10. การระเบิดของภูเขาไฟอาจเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว

คลื่นไหวสะเทือน

คลื่นไหวสะเทือนมี 2 แบบ

  1. คลื่นในกลาง = คลื่นปฐมภูมิ คลื่นทุติยภูมิ
  2. คลื่นพื้นผิว 

  • คลื่นเลิฟ (L wave) เป็นคลื่นที่ทำให้อนุภาคของตัวกลางสั่นในแนวราบ โดยมีทิศททางตั้งฉากกับการเคลื่อนที่ของคลื่น
  • คลื่นเรย์ลี (R wave) เป็นคลื่นที่ทำให้อยุภาคตัวกลางสั่น มีทิศทางเดียวกับการเคลื่อนที่ของคลื่น สามารถทำให้พื้นผิวแตกร้าว และเกิดเนินเขา ทำให้อาคารที่ปลูกอยู่ด้านบนเกิดเสียหาย
ไซโมกราฟ (seismo-graph)
   เป็นเครื่องมือบันทึกข้อมูลคลื่นแผ่นดินไหวมีเครือข่ายทั่วโลก



บริเวณที่มักเกิดแผ่นดินไหว
  1. แนวรอยต่อแผ่นธรณีภาค
  2. แนวรอยต่าสำคัญที่มักทำให้แผ่นดินไหว มี 3 แนว ได้แก่
  • แนวรอยต่อล้อมรอบมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นสาเหตุ 80% เรียกบริเวณนี้ว่า "วงแหวนแห่งไฟ"
  • แนวรอยต่อภูเขาแอลป์และภูเขาหิมาลัย 15%
  • แนวรอยต่อที่เหลือเป็นสาเหตุของอีก 5% ของแผ่นดินไหว
ความรุนแรงของการเกิดแผ่นดินไหว
  1. ความรุนแรงของแผ่นดินไหว ขึ้นกับบริเวณพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากศูนย์แผ่นดินไหว
  2. กำหนดจากผลกระทบหรือความเสียหานที่เกิดบริเวณผิวโลก ญ จุดสังเกตุ
  3. หน่วยวัดความรุนแรงของแผ่นดินไหว คือ ริกเตอร์
  4. น้อยกว่า 2.0 ริกเตอร์ เป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็ก
  5. 6.0 ริกเตอร์ขึ้นไป จัดเป็นแผ่นดินไหวรุนแรง
มาตราเมอร์คัลลี
  1. คนไม่รู้สึกสั่นไหว แต่เครื่องตรวจจับได้
  2. คนในอาคารสูงรู้สึกได้
  3. คนในอาคารแม้ไม่สูงก็สามารถรู้สึกได้
  4. คนในอาคารและคนนอกอาคารบางส่วนรู้สึก ของในอาคารสั่นไหว
  5. รู้สึกได้ทุกคน ของขนาดเล็กมีกรเคลื่อนที่
  6. วัตถุขนาดใหญ่ในอาคารมีการเคลื่อนที่
  7. อาคารมาตรฐานปานกลางเสียหายเล็กน้อย
  8. อาคารที่ออกแบบิเศษเสียหายเล็กน้อย อาคารมาตรฐานต่ำเสียหายมาก
  9. อาคารที่ออกแบบพิเศษเสียหายชัดเจน แผ่นดินแยก
  10. แผ่นดินแยกถล่ม โคลนทรายุ่งขึ้นจากรอยแยก
  11. ดินถล่มและะเลื่อไหล 
  12. ทุกสิ่งโดนทำล่ย ื้นดินเป็นลอนคลื่น
แผ่นดินไหวในประเทศไทย
รอยเลื่อนมีพลัง  คือ แนวรอยเลื่อนบนเปลือกโลกที่เคลื่อนที่ได้ในประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่อยู่บริเวณภาคเหนือ และด้านตะวันตกของประเทศ 
คาบอุบัติซ้ำ คือ ระยะเวลาครบรอบของแผ่นดินไหสที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่นั้นมาก่อน อาจมีระยะเป็นพันนปีหรือห้าร้อยปี หรือน้อยกว่า

การปฏิบัติขณะเกิดการแผ่นดินไหว
  1. คุมสติอย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ หยุดการใช้ไฟฟ้าและไฟจากเตาแก๊ส
  2. ควรอยู่ห่างจากประตู หน้าตต่าง กระจก และระเบียงบ้าน
  3. มุดลงไปใต้โต๊ะที่เเข็งเเรง ห้ามใช้ลิฟต์และบันได
  4. อยู่ห่าจากชายหาด เพราอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง

ภูเขาไฟ

การระเบิดของภูเขาไฟ
   เกิดจากหินหนืดที่อยู่ใต้เปลือกโลกถูกแรงดันอัดให้แทรกรอยแตกขึ้นมาสู่ผิวโลกโดยมีแรงประทุหรือแรงระเบิดเกิดขึ้น สิ่งที่พุ่งออกมาจากภูเขาไฟเมื่อภูเขาไฟระเบิดก็คือ หินหนืด ไอน้ำ ฝุ่นละออง เศษหินและแก๊สต่างๆ โดยจะพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ

หินอัคนี 


  1. หินอัคนีแทรกซอน
  2. หินภูเขาไฟ(หินภูเขาไฟพุ)  


    • ความรุนของหิน ขึ้นอยู่กับอัตรการเย็นตัวของลาวา
    • เช่น หินบะซอลต์ หินัมมิซ หินแก้ว หินทัฟฟ์ หินออบซีเดีย
    หินบะซอลต์
    • เป็นหินที่เกิดจากการเย็นตัวของลาวาที่ผิวโลก
    • เป็นต้นกำเนิดอัญมณีที่สำคัญ
    • ถ้ามีปริมาณของ Si จะเป็นหินแอนดีไซด์
    หินพัมมิซ
    • เป็นหินที่เกิดตากการเย็นตัวอย่างรวดเร็วของลาวา ทำให้เกิดความพรุนสูง บางชิ้นลอยน้ำได้ 

    ภูมิลักษณืของภูเขาไฟ
    1. ที่ราบสูงบะซอลต์ เกิดจากลาวาแผ่เป็นบริเวณกว้าง ทับถมกันหลายชั้นกลายเป็นที่ราบและเนินเขา
    2. ภูเขาไฟรูปโล่ เกิดจาดลาวาของหินบะซอลต์ระเบิดออกมาแบบมีท่อปล่องภูเขาไฟเล็ก
    3. ภูเขาไฟรูปกรวย เป็นรูปแบบที่สวยงามที่สุด เกิดจากการทับถมสลับกันระหว่างการไหลของลาวา









    บทที่ 2 โลกและการเปลี่ยนแปลง

        โลกและการเปลี่ยนแปลง

       ทฤษฎีการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค

    •  เสนอโดย ดร.อัลเฟรด เวเกเนอร์ ชาวเยอร์มัน
    • ทฤษฎี:แต่เดิมแผ่นดินบนโลกเป็นแผ่นเดียวกัน เรียกว่า พันเจีย(pangaea)
    • 200 ล้านปีก่อนพันเจียแยกออกเป็น 2 ทวีป ได้แก่ ลอเลเซีย อยู่ทางเหนือ ซึ่งมีทวีปยุโรปติดอยู่กับอเมริกาเหนือ และทวีปกอนด์วานาอยู่ทางใต้
    • ต่อมากอนด์วานาแตกออกเป็น ทวีปอินเดีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา ส่วนออสเตรเลียยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกอนด์วานา
    • 65 ล้านปีก่อนมหาสมุทรแอตแลนติกแยกตัวกว้างขึ้น ทำให้แอฟริกาเคลื่อนที่ตัวห่างออกจากอเมริกา
    • ต่อมายุดรปและอเมริกาเหนือแยกออกจากกัน โดยอเมริกาเหนือโค้งเข้าเชื่อมกับอเมริกาใต้ และออสเตรเลียแยกออกจากแอนตาร์กติกา





        หลักฐานสนับสนุนทฤษฎีของเวเกเนอร์
    • รอยต่อของแผ่นธรณีภาค  รูปร่างของทวีปบางทวีปเชื่อมต่อกันได้พอดี แต่อาจไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก
    • ความคล้ายคลึงกันของกลุ่มหินและแนวภูเขา กลุ่มหินที่พบในบางทวีปมีความคล้ายคลึงกันหรือเป็นหินชนิดเดียวกัน


       หลักฐานที่สนันสนุนการเคลื่อนตัวของทวีป
    • สันเขาใต้สมุทรและร่องลึกใต้สมุทร
    • หินที่เกิดจากการสะสมตัวของตะกอนจากธารน้ำแข็ง
    • ซากสัตว์ดึกดำบรรพ์  เช่น
          มีโซซอรัส

           ลีสโทรซอรัส


           ไซโนกาทัส

                   กลอสโซพเทรีส

    • อายุหินบริเวณพื้นมหาสมุทร 
    • ภาวะแม่เหล็กโลกบรรพกาล (ร่องรอยสนามแม่เหล็กโลกในอดีต)
       กระบวนการที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณ
    • วงจรการพาความร้อน คือ กระบวรการที่สารร้อนภายในโลกไหลเวียนเป็นวงจร ทำให้เปลือกโลกกลางมหาสมุทรยกตัวขึ้น
    • เมื่อสารร้อนไหลเวียนขึ้นมาจะมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น และมุดลงบริเวณร่องลึกมหาสมุทร
      ลักษณะการเคลื่นที่ของแผ่นะรณีภาค
    • ขอบแผ่นธรณีภาคแยกออกจากกัน  คือ แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรเคลื่อนตัวแยกออกจากกันและปรากฏเป็นเทือกเขากลางมหาสมุทร
    • ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนเข้าหากัน คือ ทำให้เกิดเป็นภูเขาไฟกลางมหาสมุทร , เกิดเทือกเขาบนแผ่นธรณีภาคพื้นทวีป , เกิดเป็นเทือกเขาสูง
    • ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ผ่านกัน คือ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในระดับตื้นๆในบริเวณพื้นทวีป หรือมหาสมุทร 



       การเปลี่ยนแปลงลักษณะของเปลือกโลก
    • ชั้นหินคดโค้ง ได้แก่  คดโค้งรูปประทุนหงาย คดโค้งรูปประทุนหงาย

    • รอยเลื่อน คือ ระนาบรอยเเตกตัดผ่านหินซึ่งมีการเคลื่อนที่ผ่านกัน และหินจะเคลื่อนที่ตามระนาบรอยเเตกนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
           -รอยเลื่อนปกติ
           -รอยเลื่อนย้อน
           -รอยเลื่อนตามแนวระดับ






    บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ

    เทคโนโลยีอวกาศ 🌟กล้องโทรทรรศน์🌟       แบ่งออกเป็น 2 ประเภท กล้องโทรทรรศน์ชนิดหักเหแสง ใช้เลนส์ในการรวมเหมาะสำหรับใช้สังเกตพื้นผิวดว...